กำเนิดตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์

พระราม

พระลักษมณ์

นางสีดา
ท้าวทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยาปกครองบ้านเมืองมานานยังไม่มีโอรสแลธิดาเลย จึงมีพระดำริว่าจะหาคนลงมาเกิดเพื่อปราบพวกยักษ์ เพราะโลกกำลังเข้าขั้นกลียุค จึงไปปรึกษากับเหล่าฤาษีทั้งหลาย ฤาษีจึงมีความเห็นว่าผู้ที่จะมาเกิด ควรจะเป็นพระนารายณ์เท่านั้น จึงขึ้นไปเข้าเฝ้าพระอิศวรขอให้พระนารายณ์อวตารลงมา พระนารายณ์ก็มา พร้อมด้วยเทวดาทั้งหลายที่อาสาลงมาช่วยพระนารายณ์ปราบยักษ์ด้วย ดังนี้
“พระราหูฤทธิ์ไกรไชยชาญ เป็นทหารชื่อนิลปานัน
พระพินายนั้นเป็นนิลเอก พระพิเนกนั้นเป็นนิลขัน
พระเกตุเป็นเสนีกุมิตัน พระอังคารเป็นวิสันตราวี
พระหิมพานต์จะเป็นโกมุท พระสมุทรนิลราชกระบี่ศรี
พระเพลิงเป็นนิลนนมนตรี พระเสารีเป็นนิลพานร
พระสุกรเป็นนิลปาสัน พระหัศนั้นเป็นมาลุนทเกสร
พระพุธเป็นสุรเสนฤทธิรอน พระจันทรเป็นสัตพลี
วิฬูรหกวิรูปักษ์สองตระกูล เป็นเกยูรมายูรกระบี่ศรี
เทวันวานรนอกนี้ บัญชีเจ็ดสมุดตราฯ”
พระอิศวรอนุญาตและประทานพรว่าเมื่อถูกฆ่าตายแล้วพระพายพัดมาเมื่อไรจงฟื้นคืนชีวิตดังเดิม
ต่อมาฤาษีก็จัดทำพิธี ฤาษีทุกองค์สำรวมจิตอ่านพระเวทมนตร์พร้อมกัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงสามราตรีก็บันดาลให้พระธรณีเลื่อนลั่นบังเกิดเพลิงควันพลุ่งแสงสว่างรุ่งโรจน์ บัดเดี๋ยวก็มีอสูรทูนถาดข้าวทิพย์ขึ้นมาจากกองไฟ ในถาดมีข้าวทิพย์สี่ก้อน
กล่าวถึงนางมณโฑอยู่ในปราสาทได้กลิ่นข้าวทิพย์ก็อยากกิน นางกากนาสูรจึงแปลงกายเป็นนางกาตัวใหญ่ไปโฉบเอามาได้ครึ่งปั้น ส่วนที่เหลืออีกสามปั้นครึ่งนั้น พระมเหสีของท้าวทศรถคือ พระนางเกาสุริยา พระนางไกยเกษี พระนางสมุทรเมวีก็เสวยไป ก็ทรงครรภ์ขึ้น
ต่อมามเหสีทั้งสามก็ให้กำเนิดพระโอรส โดยพระนางเกาสุริยาประสูติพระจักราพระวรกายเขียวดังกับนิลมณี พระนางไกยเกษีประสูติพระโอรสพระวรกายดั่งสีทับทิม พระนางสมุทรเทวีประสูติพระโอรสพระวรกายสีเหลืองคล้ายทาทอง และต่อมาก็ประสูติพระวรกายสีม่วง
ท้าวทศรถดีใจมาก และได้ให้ชื่อลูกโดยให้พระเชษฐาคือพระนารายณ์อวตารพระนามว่า พระราม จักรหรือน้องให้พระนามว่า พระพรต บัลลังก์กับสังข์ทรงพระนามว่า พระลักษมณ์ ศทาวุธให้พระนามว่า พระสัตรุด
กล่าวถึงนางมณโฑตั้งแต่ได้เสวยข้าวทิพย์ครรภ์ก็เจริญทุกที ครั้นคลอดออกมาก็ได้พระธิดางดงามยิ่ง นางนั้นร้องขึ้นสามครั้งว่า ผลาญยักษ์ ๆ ๆ แต่ทศกัณฐ์และนางมณโฑไม่ได้ยิน เมื่อเกิดมาทศกัณฐ์ก็ให้พิเภกทำนายดวงชะตา พิเภกทำนายว่าพระธิดานี้จะฆ่าพ่อแม่ ทำให้บ้านเมืองล่มจม จึงให้เอาในส่ผอบไปลอยน้ำ เมื่อถึงน้ำด้วยอำนาจแห่งพระลักษมีก็ปรากฏดอกบัวผุดมารองรับที่ท่าน้ำมุนี ซึ่งที่ท่าน้ำนี้มีฤาษีชนกมาสรงน้ำเป็นประจำ ก็ได้มาเห็นผอบและเห็นทารกอยู่ก็เก็บมาเลี้ยง แต่ก็คิดว่าถ้าเลี้ยงไว้ก็เป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญพรต จึงนำไปฝากให้เหล่าเทพยดารักษ์ให้เลี้ยงรักษาที่ใต้ต้นไทร
ต่อมาฤาษีชนกบำเพ็ญเพียรนานเข้าไม่สำเร็จก็เกิดความเบื่อหน่ายจึงคิดจะกลับไปครองราชสมบัติจึงมาขุดเอาพระธิดาไปเป็นลูก เมื่อพบแล้วก็ดีใจยิ่ง จึงให้ลูกชื่อว่า นางสีดา


สุครีพ
ขอกล่าวถึงฤาษีองค์หนึ่งชื่อโคดม เดิมทีเดียวฤาษีองค์นี้เป็นกษัตริย์ครองเมอืงสาเกตรู้สึกเบื่อหน่ายในราชสมบัติจึงออกบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าถึงสองพันปี จนหนวดยาวเหมือนหญ้าออกมาปกคลุม นกก็เข้ามาทำรัง วันหนึ่งนกตัวผู้ออกหากินแล้วเกิดไปหากินในดอกบัว และดอกบัวหุบขังนกตัวนั้นเอาไว้ นกตัวเมียที่อยู่ในรังก็สงสัยว่าผัวตนหายไปนาน จึงคิดว่าผัวนอกใจ เช้ามาเมื่อผัวกลับมาแล้ว ก็บอกเมียว่าไม่ได้นอกใจแต่นกตัวเมียไม่ยอมเชื่อ นกตัวผู้จึงบอกว่า ถ้าตนนอกใจจริงขอให้บาปทั้งหมดของฤาษีโคดมตกที่ตัว ฤาษีโคดมได้ฟังดังนั้นก็สงสัยว่าตนอุตส่าห์บำเพ็ญเพียรมาตั้งสองพันปี จะมีบาปได้อย่างไร นกจึงบอกว่าฤาษีมีบาปคือไม่ยอมมีลูกเมียคอยสืบบัลลังก์
ดังนั้น ฤาษีโคดมจึงภาวนาเสกนางขึ้นกลางไฟ และให้ชื่อนางนั้นว่า กาลอัจนา ฤาษีมีลูกกับนางกาลอัจนา คือ นางสวาหะ
วันหนึ่งฤาษีโคดมออกไปหาผลไม้ในป่า พระอินทร์คิดจะหาคนช่วยพระนารายณ์อวตารปราบทศกัณฐ์ให้ได้ จึงคิดจะไปมีลูกกับนางกาลอัจนา เพื่อที่จะได้ไปช่วยพระนารายณ์รบกับทศกัณฐ์ ดังนั้นพระอินทร์จึงลงมาเกี้ยวพาราสีนางกาลอัจนา จนนางกาลอัจนาหลง และเมื่อพระอินทร์ลูบหลังนาง นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายมีกายสีเขียวอ่อน ฤาษีโคดมนึกว่าลูกตนก็รักยิ่งกว่านางสวาหะ
ต่อมาฤาษีโคดมออกป่าอีก พระอาทิตย์กำลังแผดแสงแรงกล้า นางอัจนาเห็นพระอาทิตย์ก็เกิดรักใคร่ พระอาทิตย์ทราบ และคิดจะช่วยพระนารายณ์ปราบทศกัณฐ์เช่นกัน จึงลงมาสมสู่กับนางกาลอัจนา จนเกิดเป็นลูกชายกายสีแดงเหมือนพระอาทิตย์ ฤาษีโคดมนึกว่าเป็นลูกตนก็เกิดความรักใคร่มากไปอีก
วันหนึ่งฤาษีโคดมจะไปอาบน้ำได้อุ้มลูกอันเกิดจากพระอาทิตย์ไว้ที่สะเอว ลูกที่เกิดจากพระอินทร์ขี่หลังส่วนลูกของตนจูงมือ นางสวาหะเห็นก็น้อยใจ จึงพูดว่า ทีลูกคนอื่นอุ้มบ้าง ขี่หลังบ้าง ทีลูกตัวเองหนอให้เดิน ฤาษีโคดมได้ยินก็สงสัย จึงถามความจริง เมื่อทราบเรื่องทั้งหมดจึงลองพิสูจน์ดู โดยโยนลูกทั้งสามลงไปในน้ำแล้วอธิษฐานว่าถ้าเป็นลูกของตนให้ว่ายน้ำกลับมา แต่ถ้าเป็นลูกคนอื่นให้กลายเป็นลิงและหายเข้าป่าไป ปรากฏว่า นางสวาหะว่ายน้ำกลับมา และโอรสทั้งสองก็กลายเป็นลิงค่างและหายเข้าป่าไป ฤาษีเห็นดังนั้น ก็โกรธนางกาลอัจนามาก จึงได้สาปแช่งให้นางกลายเป็นหิน ส่วนนางกาลอัจนาทราบว่าลูกสาวตนเป็นคนบอกความจริงแก่ฤาษีก็โกรธจึงสาปแช่งให้นางสวาหะไปยืนอ้าปากตีนเดียวเหนี่ยวกินลมที่เชิงเขาจักรวาล ต่อเมื่อมีลูกเป็นลิงที่มีฤทธิ์เลิศกว่าลิงทั้งหลายแล้วจึงจะพ้นคำสาป
ฝ่ายพระอินทร์และพระอาทิตย์เห็นลูกตนตกระกำลำบากก็หาทางช่วยเหลือ โดยสร้างเมืองให้ครอง ชื่อว่า เมืองขีดขิน ตั้งชื่อลูกพระอินทร์ว่า พระยากากาศ ตั้งชื่อลูกพระอาทิตย์ว่า สุครีพ พร้อมทั้งสอนวิชาเวทมนตร์ให้
คราวนี้ขอกล่าวถึงเมืองชมพู ท้าวมหาชมพูเป็นเจ้าพระนคร มีพระมเหสีนามแก้วอุดร แต่ไม่มีโอรสและธิดา พระอิศวรจึงประทานลูกพระกาฬชื่อนิลพัทธ์มาให้ ท้าวชมพูนี้ทรงศักดาวราฤทธิ์มากไม่ยอมไหว้ใครนอกจากพระนารายณ์กับพระอิศวรเท่านั้น ท้าวมหาชมพูเป็นสหายกับพระยากากาศ ไปเยี่ยมเยียนำปมาหาสู่กันเสมอ

หนุมาน
ฝ่ายพระอิศวรเห็นนางสวาหะยืนอ้าปากกินลมก็สงสารจึงสั่งองค์พระพายเอาเทพอาวุธและกำลังกายของพระองค์ซัดเข้าปากของนางสวาหะ ให้เกิดลูกเป็นกระบี่ มีกระบองเพชรเป็นสันหลังตลอดหาง ตรีเพชรเป็นตัว เป็นมือ เป็นตีน จักรแก้วเป็นเศียร หากจะต่อสู้กับใครก็ชักเอาตรีเพชรที่อกออกมาสู้ได้ เวลาที่ลูกกระบี่นี้คลอดนั้น ได้คลอดออกมาทางปากของนางสวาหะ เผือกผ่องทั้งกาย ตัวใหญ่ ออกมาแล้วก็เหาะขึ้นไปบนฟากฟ้าลอยอยู่หน้าพระชนนี มีรัศมีโชติช่วง มีกุณฑล เขี้ยวแก้ว ขนเพชร หาวเป็นดาวเป็นเดือน มีแปดมือสี่หน้า พระพายให้ชื่อลูกว่า หนุมาน
พระพายได้บอกหนุมานว่า กุณฑลขนเพชรนั้นหากมีผู้ใดเห็นมาทักทาย ท่านนั้นคือพระนารายณ์อวตารมาเพื่อปราบยักษ์ จงสวามิภักดิ์ด้วย หนุมานก็รับคำแล้วร่อนเร่ออกไปเรื่อย ๆ ฝ่ายพระพายเห็นว่าหนุมานยังไม่ฝากตนกับใครจึงพาไปเฝ้าพระอิศวร หนุมานเรียนวิชากับพระอิศวรจนชำนาญ พระอิศวรจึงมีดำริว่าพระยากากาศกับสุครีพ ไม่มีลูกเมียจึงจะส่งหนุมานกับชมพูพานไปอยู่เมืองขีดขิน หนุมานและชมพูพานจึงได้ไปอยู่เมืองขีดขิน

ทศกัณฐ์
กล่าวถึงยักษ์ตนหนึ่งชื่อนนทก มีหน้าที่ล้างเท้าเทวดาอยู่ที่บันไดเขาไกรลาส เวลาเทวดามาเฝ้าพระอิศวร นนทกจะเป็นผู้ล้างเท้าให้ ระหว่างที่นนทกล้างเท้า เทวดาพิเรนบางองค์มืออยู่ไม่สุขเอามือลูบหัวเล่นบ้าง ลูบหน้าเล่นบ้าง บ้างก็ถอนผมนนทกเล่น นานเข้าผมบนหัวนนทกก็บางลงทุกที ในที่สุดก็โกร๋นเกลี้ยง นนทกมองดูเงาตัวเองในน้ำ ครั้งแรกตกใจ แทบไม่เชื่อ แต่แล้วก็ต้องแค้นใจเทวดาจนต้องร้องไห้ ยิ่งคิดไปยิ่งมองไปก็ยิ่งเพิ่มความแค้นหนักขึ้น นนทกจึงรีบไปเฝ้าพระอิศวร เมื่อถึงก็ทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นปิ่นโลก พระองค์ย่อมมีพระทัยเมตตาปรานีทั่วหน้า ผู้ใดทำชอบก็ทรงโปรดประทานความดีความชอบ ตัวข้าเองก็ได้กระทำความดีต่อพระองค์โดยมีหน้าที่ล้างเท้าเทวดามาถึงโกฏิปีแล้วมิได้มีความผิดแต่อย่างใด แต่ก็ช่างเป็นการประหลาดแท้ที่พระองค์มิได้ประทานยศศักดิ์แม้แต่น้อยแต่ข้า ไม่ทราบว่าข้าได้ทำกรรมสิ่งใดไว้ มันช่างน่าน้อยใจยิ่งนัก”
ทูลแล้วนนทกก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่แทบพระบาท
พระอิศวรเห็นนนทกร้องไห้ก็ทรงมีเมตตาจึงตรัสว่า
“อย่าร้องไห้ไปเลยวะเจ้านนทก เอ็งอยากได้อะไรบอกกูจะให้”
ได้ยินดังนั้นนนทกก็หยุดร้องไห้ทันที ก้มเกล้าแล้วถวายบังคมทูลว่า
“ข้าขอนิ้วเป็นเพชร มีฤทธิ์เดชชี้ไปที่ใครขอให้ตาย”
“ตกลงกูให้มึง”
เมื่อได้นิ้วเพชรแล้วนนทกก็ออกจากที่เฝ้า ในใจคิดแค้นเทวดากรุ่นอยู่ เดินมาจนถึงบันไดเขาไกรลาสอันเป็นที่ที่ตนคอยล้างเท้าเทวดาอยู่ ฝ่ายเทวดาพอได้เวลาต่างก็มาเฝ้าพระอิศวร มาถึง
นนทกก็ล้างเท้าให้เหมือนแต่ก่อน เทวดาไม่รู้ว่านนทกมีนิ้วเพชร พอนนทกล้างเท้าก็เอามือดึงผม เทวดาองค์อื่นเห็นเข้าก็พากันหัวเราะขบขัน นนทกคอยการกระทำอยู่แล้ว พอเทวดาพิเรนถอนผมและเทวดาอื่นพากันหัวเราะเยาะเย้ยนนทกก็ลุกพรวดพราดขึ้นร้องตวาดก้อง
“เหม่ เหม่ ไอ้พวกเทวดาใจทราม หัวกูเป็นอย่างไรหรือพวกมึงจึงชอบถอนเล่นกันนัก ทำไมหัวพวกมึงจึงไม่ถอนกันบ้าง ทำอย่างนี้หมิ่นกันเหลือเกิน วันนี้แหละจะได้เห็นฤทธิ์กูเสียบ้าง”
ว่าดังนั้นแล้วนนทกก็เอานิ้วเพชรชี้ไปที่เทวดาพิเรน เทวดาก็ตายอยู่กับที่ เทวดาอื่นเห็นเข้าก็กลัวพยายามจะหนี แต่นนทกไม่ยอมให้หนีไปได้ เอานิ้วชี้เสียตายเรียบหมด เทวดาองค์อื่นที่ไกลอยู่ออกไปเห็นท่าไม่ดีจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระอิศวร พระอิศวรจึงให้พระนารายณ์ไปปราบนนทก พระนารายณ์แปลงโฉมเป็นนางเทพอัปสรดักอยู่ทางที่นนทกจะผ่าน ฝ่ายนนทกเดินผ่านมาเห็นก็ดีใจยิ่งนักจึงเกี้ยวพาราสีต่าง ๆ นานา ฝ่ายนางเทพอัปสรแปลงก็ทำทีบอกให้นนทกร่ายรำตามตนำปทุกท่าแล้วจะยินดีผูกมิตรด้วย นนทกก็ทำตาม จนกระทั้งถึงท่านาคาม้วนหางนิ้วเพชรของนนทกชี้ไปที่ขาของตัวเอง ขานนทกก็หักลงทันใด นนทกล้มลง ทันใดนั้น นางแปลง็กลายเป็นพระนารายณ์เหยียบอกนนทกไว้ ก่อนจะฆ่านนทก พระนารายณ์ได้ท้าให้นนทกไปเกิดใหม่มีสิบเศียรสิบพักตร์ยี่สิบมือ เหาะเหินเดินอากาศได้ มีอาวุธทั้งกระบองและธนู ส่วนพระนารายณ์จะไปเกิดเป็นมนุษย์มีสองมือตามไปฆ่านนทกให้ได้ นนทกพอวิญญาณหลุดจากร่างก็ไปจุติในครรภ์พระนางรัชดามเหสีท้าวลัสเตียน เกิดมาเป็นโอรสนามว่า ทศกัณฐ์ มีสิบเศียร ยี่สิบมือ ต่อมาอีกไม่นานก็มีโอรสอีกองค์หนึ่งชื่อ กุมภกรรณ
กำเนิดอินทรชิต

อินทรชิต
ทศกัณฐ์มีเมียหลายคน และมีลูกหลายคนด้วย ลูกที่เกิดจากนางมณโฑนั้น มีชื่อว่ารณพักตร รณพักตรมีสันดานหยาบเหมือนพ่อ อยากเรียนวิชาให้เก่งกล้าจึงไปเรียนกับฤาษีโคบุตรอาจารย์ของทศกัณฐ์ ฤาษีเห็นว่าปัญญาดีจึงให้เรียนมหากาฬอัคคี รณพักตรก็บำเพ็ญเพียรเรียนจนครบเจ็ดปี ร้อนถึงพระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ ทั้งสามพระองค์จึงลงมาถามถึงความต้องการในการบำเพ็ญเพียรครั้งนี้ของรณพักตร รณพักตรอยากได้ศร พระอิศวรจึงประทานศรพรหมาศ พระพรหมประทานศรนาคบาศและพระเวทสำหรับแปลงกายเป็นพระอินทร์ พร้อมกับประทานพรว่าเวลาตายให้ตายบนอากาศ อย่าให้ตายบนดิน ถ้าเศียรขาดตกลงมาบนดินให้เกิดไฟประลัยกัลป์ ต้องใช้พานแก้วทิพย์ของพระพรหมมารองรับ พระนารายณ์ประทานศรวิษณุปาณัม
เมื่อได้ศรทั้งสามก็ดีใจ จึงหาเรื่องรุกรานคนอื่น โดยรณพักตรได้จัดกองทัพไปรบกับพระอินทร์และสามารถเอาชนะได้ ทศกัณฐ์ดีใจยิ่งนักจึงให้นามใหม่แก่รณพักตรว่า อินทรชิต
กำเนิดพิเภก

พิเภก
ฝ่ายพระอิศวรนั้น เมื่อทราบว่านนทกลงไปเกิดเป็นทศกัณฐ์ ลูกท้าวลัสเตียนในกรุงลงกา กิตติศัพท์ร้ายกาจนัก โลกพากันเดือดร้อนวุ่นวาย ไม่มีผู้ใดปราบได้ พระนารายณ์จะอวตารลงไปปราบมัน แต่พวกมันก็เก่งกล้าสามารถมาก ถ้าไม่ส่งคนลงไปเป็นไส้ศึก พระนารายณ์เห็นจะปราบมันยาก จึงให้เวสสุญาณเทพบุตรลงไปเกิดในท้องพระนางรัชดา โดยให้เรียนโหราวิชาไสยคอยท่าพระนารายณ์อยู่ โดยประทานแว่นวิเศษไปด้วย เวสสุญาณเทพบุตรก็ลงมาจุติตามพระบัญชา ท้าวลัสเตียนให้ชื่อลูกว่า พิเภก พิเภกมีปัญญาฉลาดหลักแหลมนั